บทความนี้เกี่ยวกับตระกูลขุนนางของซีรีย์บันทึกแวมไพร์วานิทัส ในโลกของวานิทัสของซึ่งสร้างโดยโมจิซุกิ จุน เป็นสังคมของตัวละครที่พบว่าพวกเขาอาศัยอยู่ซึ่งมีพื้นฐานมาจากชนชั้นสูงชาวฝรั่งเศสในโลกจริง[1] ได้อธิบายพอให้เข้าใจ แม้ว่าเรื่องราวจะดำเนินไปอย่างดีหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส แต่เนื่องจากประวัติศาสตร์เส้นทางที่แตกต่างกันได้เกิดขึ้นภายในเรื่อง ต่อให้มีลำดับชั้นทางสังคมและความแตกต่างทางชนชั้นจึงยังคงอยู่อย่างดี ต่อไปนี้เป็นรายชื่อขุนนางทั้งหมดที่พบในเรื่องราวและลำดับชั้นที่พวกเขาทำหน้าที่
ตระกูลขุนนางแวมไพร์[]
แวมไพร์นั้นเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากปรากกการ์ณของบาเบลซึ่งได้เขียนสมการขึ้นมาใหม่ อยู่ในระดับโลกและกลายมาเป็นพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แวมไพร์ได้กลายมาเป็นมนุษย์ซึ่งมีสูตรโครงสร้างที่ได้รับการเขียนใหม่ให้เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ทั้งหมด
แม้ว่าโครงสร้างทางกายภาพของแวมไพร์กับความสามารถทั่วไปของพวกมันจะแตกต่างจากมนุษย์มาก แต่โครงสร้างทางจิตวิทยาและวัฒนธรรมของพวกมันยังคงเหมือนเดิมโดยพื้นฐาน ดังนั้น สังคมแวมไพร์โดยส่วนใหญ่จึงมีความคล้ายคลึงกับสังคมมนุษย์ ซึ่งมีระบอบกษัตริย์ เศรษฐกิจแบบทุนนิยมซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นรายละเอียดบางประการที่แตกต่างกันอาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เมืองหลวงของเผ่าพันธุ์แวมไพร์คือ "อัลทัส ปารีส" ซึ่งภายในเมืองนั้นเป็นฐานปฏิบัติการสำหรับกองกำลังปกครองกลางของเผ่าพันธุ์ รวมถึงตระกูลขุนนางที่มีอำนาจมากที่สุดอย่างวุฒิสภารวมถึงองค์ราชินีแวมไพร์
องค์ราชินี[]
เธอมีชื่อว่าฟาอัสตินา เป็นองค์ราชินีของเหล่าแวมไพร์ซึ่งอยู่จุดสูงสุดในบรรดาของเหล่าแวมไพร์ แวมไพร์ทุกตนนั้นจำใจต้องบังคับจำยอมต้องให้ความเคราพแก่เธอ ไม่ว่าด้วยสัญชาตญาณหรือเหตุผลใด พวกเขาต้องยำเกรงเธอเพราะมันธรรมชาติของเหล่าแวมไพร์ ยังเป็นแวมไพร์ตนแรกของจันทราสีแดงที่เกิดจากปรากฏการณ์บาเบล และอายุยืนยาวที่สุดในโลก
แต่ในช่วงระยะเวลาหลังๆ องค์ราชินีแทบไม่ปรากฎตัวในพื้นที่สาธารณะ ส่วนสาเหตุนั้นไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
วุฒิสภาแวมไพร์[]
วุฒิสภาแวมไพร์เป็นรัฐบาลที่ทำหน้าที่ปกครองเหล่าแวมไพร์ทั้งหมด และทำหน้าที่เป็นหนึ่งในกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในเหล่าอัศวินแวมไพร์ รวมไปถึงองค์ราชินี และแกรนด์ดยุกผู้ทำหน้าที่คอยให้คำปรึกษาแก่องค์ราชินีอย่างใกล้ชิด เป็นตัวแทนที่มีอำนาจมากที่สุด เหล่าวุฒิสภาจะมารวมตัวกันในช่วงเวลาที่สถานการ์ณเลวร้ายที่สุดเพื่อกำหนดอนาคตของเหล่าแวมไพร์ โดยเฉพาะช่วงสงครามกับยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่วุฒิสภาประกอบด้วยอำนาจ ความสามัคคีทางการเมืองและทำลายอำนาจกันเอง ส่งผลให้วุฒิสภาขึ้นชื่อเรื่องความไม่มีระเบียบ ช้าและไม่มีประสิทธิภาพในฐานะกองกำลังรัฐบาล
ตระกูลออริเฟรมเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในแววงสังคมของโลกแวมไพร์ เพราะพวกเขาเป็นตระกูลที่มีตำแหน่งในฐานะแกรนด์ดยุก ซึ่งเป็นที่ปรึกษาและมีอำนาจรองมาจากองค์ราชินี ทำให้แกรนด์ดยุกมีอำนาจแล้วอิทธิพลเทียบเท่ากับเธอ แต่ถึงอย่างนั้นสถานการ์ณในออริเฟรมก็น่าอึดอัดใจเพราะลูก้าได้ครอบครองตำแหน่งแกรนด์ดยุก ด้วยเหตุผลว่าเขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวที่มีคุณสมบัติในการสืบทอดตำแหน่งเพียงคนเดียวแถมยังน้อยมากที่สุด ส่วนโลกิพี่ชายของลูก้ากลายเป็นผู้ต้องสาป และต้องถูกประฌานให้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ด้านผู้ใหญ่สามารถรับตำแหน่งได้ ก็ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับพวกเขา ไม่ว่าตระกูลออริเฟรมจะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการแย่งชิงเหล่าแวมไพร์หลังปรากฏการณ์บาเบล มีการทำสงครามระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ ต่อมานั้นตระกูลออริเฟรมได้รับออกัส รูธเวน ในฐานะบุตรบุญธรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สร้างสันติภาพระหว่างเผ่าพันธุ์ แม้ว่าเขาไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดก็ตาม ถึงอย่างนั้นรูธเวนก็เป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุด
เดอ ซาดเป็นตระกูลแวมไพร์ที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักในเหล่าแวมไพร์ พวกเขามีชื่อเสียงว่าเป็นพวกเห็นแก่ตัวและไม่โอ้อวด สนใจแต่ความสุขสบายเท่านั้นโดยไม่สนใจความไม่เหมาะสม ผู้ก่อตั้งตระกูลนั้นถูกรู้จักกันในชื่อว่าเคานต์แห่งแซงต์แณร์แม็ง ซึ่งเป็นที่น่าหวาดเกรงและต้นกำเนิดรวมไปทั้งชื่อจริง รูปลักษณะภายนอกไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด รู้แต่ว่าตระกูลเขารับใช้องค์ราชินีมาอย่างยาวนานและเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเธอมากที่สุด แม้ว่าเขาจะปฏิบัติต่อหน้าที่นั้นทั้งหมดด้วยความเอาใจใส่เพียงเล็กน้อยก็ตาม สมาชิกภายในตระกูลล้วนแข็งแกร่งและมีสถานะในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นวุฒิสมาชิก บีสเทียและองครักษ์ ถึงอย่างนั้นภาพลักษณ์ภายนอกในตระกูลที่ไม่แน่นอนและชอบเอาแต่ใจ พวกเขามักจะปิดบังกิจกรรมที่มืดมิดเอาไว้ ยังครอบครองกิจการของเล่นสำหรับผู้ใหญ่ รวมไปถึงสายจูงซึ่งใช้กันเด็กหลงทางและกิจกรรมทางเพศสำหรับคู่รัก (มีกล่าวอยู่ในโอเมเกะ) นอกจากนี้โมจิซุกิยังได้รับแรงบันดาลใจจากตระกูลซาดมาจากมาร์กี้ เดอ ซาดนักเขียนนวนิยายซาดิสซ์ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอยู่จริงทางประวัติศาสตร์
อัสชีวิสต์เป็นแวมไพร์ที่มีชื่อเสียงและโดดเด่นในแง่มุมรูปลักษณ์ภายนอกในเรื่องสีผมขาวซีด ผิวสีน้ำตาลเข้มและพลังที่สามารถอ่านความทรงจำผ่านการดื่มเลือดได้ของพวกเขา ตระกูลอัสชีวิสต์นั้นตกเป็นเหยื่อของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ทำลายทั้งตระกูล ซึ่งโนเอ้ อัสชีวิสต์เป็นผู้เหลือรอดเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ภายในตระกูล โดยเขาใช้ชีวิตมาสิบเก้าปีและไม่เคยพบกับแวมไพร์ตัวอื่นเหมือนกับเขาเลย
ตระกูลขุนนางทางฝั่งมนุษย์[]
โลกในซีรีย์บันทึกแวมไพร์วานิทัสได้ใช้ไทม์ไลนืประวัติศาสตร์ในอีกรูทหนึ่งที่เริ่มต้นด้วยปรากฎการ์ณบาเบล ที่เปลี่ยนสูตรสมการและพื้นฐานของโลกใบนี้ ซึ่งเหตุการ์ณนี้ทำให้เกิดมนุษย์สายพันธ์ใหม่ที่เรียกว่าแวมไพร์ ซึ่งนำไปสู่สงครามระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์โดยเหตุการ์ณเกิดขึ้นนั้นแสดงให้เห็นในเนื้อเรื่องหลักแทนที่เป็นการปฏิวัติฝรั่งเศสในโลกจริง ระบบการปกครองของทางฝั่งมนุษย์ยังใช้ระบบการปกครองโบราณ (คล้ายกับโลกจริง) แต่ต่างตรงที่พวกเขามีเทคโลยีที่ทันสมัยมากกว่า มาจากการค้นพบสมการโลก หลังสงครามจบลง มนุษย์รู้สึกแค่ว่าแวมไพร์เป็นแค่ตำนานหรือเรื่องทั่วไปที่เล่ากันต่อมาเท่านั้น
เดอ อัปเณร์[]
เดอ อัปเณร์ เป็นตระกูลขุนนางที่ก่อตั้งขึ้นมาอย่างยาวนานก่อนเกิดปรากฎการ์ณบาเบล พวกเขาจึงเป็นขุนนางที่เก่าแก่มากที่สุด หลังจากเกิดภัยพิบัติ ลูกสาวของมาควิสก็ได้กลายเป็นแวมไพร์ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตของเธอสำหรับบรรยากาศที่มีความตึงเครียดและรุนแรงระหว่างสองเผ่าพันธุ์ ทำให้ตั้งแต่นั้นทางตระกูลได้พยามใส่ใจโคลเอ้และทุ่มเทการวิจัยทั้งหมดเพื่อค้นคว้าสมการโลก และหาทางไปข้องเกี่ยวกับมัน แม้ว่าศาสนจักรพยามสั่งห้ามด้วยการออกกฎหมาย ทั้งหมดมีจุดประสงค์เพื่อช่วยโคลเอ้ เดอ อัปเณร์เพื่อเปลี่ยนให้กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง ซึ่งความพยามของพวกเขาที่พัฒนามาโดยตลอดนั้นทำให้สามารถสร้างเครื่องปลอมแปลงสมการโลกได้สำเร็จ ปัจจุบันโคลเอ้คือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของคนภายในตระกูล มีข้อสงสัยว่าคนที่สังหารและกวาดล้างคนในตระกูลของเธอคือสัตว์ร้ายแห่งเฌโวด็อง
กรานาทุม[]
กรานาทุมเป็นตระกูลขุนนางซึ่งมีเกียรติและประวัติศาสตร์มานานและมีความสัมพันธ์อันดีกับศาสนจักร ในช่วงสงครามระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ พวกเขามักจะสนับสนุนให้ทารุณกรรมแวมไพร์อย่างโหดร้ายและไม่เลือกปฎิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของศาสนจักร แล้วกรานาทุมก็เป็นส่วนสำคัญในการล่าแวมไพร์ ทำให้บุคคลสำคัญในช่วงสงคราม หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลงและสงบลงชั่วคราว แวมไพร์ส่วนใหญ่อพยพไปยังอัลทัสเพื่อมีชีวิตอยู่ ส่วนกรานาทุมได้บริจาคเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้รับเก้าอี้ตำแห่งที่นั่งสำหรับชาสเซอร์ ในฐานะพาลาดินมาหลายชั่วอายุคน แต่ถึงอย่างนั้นในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ไม่กี่ปีมานี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในเหตุการ์ณโศกนาฏกรรมอันน่าสยดสยองที่สังหารเกือบทั้งตระกูลยกเว้นแอสโทลโฟ กรานาทุมที่กลายมาเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวที่ได้กลายเป็นพาลาดินและชาสเซอร์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของศาสนจักร
ไม่ใช่ทั้งสองเผ่าพันธุ์[]
โลกของบันทึกแวมไพร์วานิทัสถูกปกครองโดยการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ ทั้งสองเผ่าพันธุ์นั้นอาศัยอยู่ในมิติคู่ขนานที่แยกออกจากกัน รวมไปถึงสังคมกับวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตแต่ละเผ่า สงครามระหว่างสองเผ่าได้กำหนดวิถีชีวิตของพวกเขาภายหลัง แต่ท่ามกลางการปะทุที่รุนแรง ยังมีบางคนที่ไม่อยู่ทั้งในกลุ่มมนุษย์หรือแวมไพร์ แต่กลับกลายเป็นอะไรสักอย่างในนั้น และเพราะพวกเขาไม่อยู่ในเชื้อชาติใดทั้งสิ้นเลย พวกเขาจึงกลายเป็นพวกนอกรีตที่อยู่นอกจากวงสังคม และไม่มีที่อยู่ให้ใครมาต้อนรับไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในโลกใดก็ตาม
แดมพีร์[]
แดมพีร์ เป็นสายพันธ์ลูกครึ่งที่ผสมระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ แต่เนื่องจากสงครามที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงซึ่งต้องย้อนกลับไปในช่วงปรากฎการ์ณบาเบล ทำให้แดมพีร์ถูกกดดันอย่างมากเพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มสองเชื้อชาติใดที่มีความเกลียดซังกันในอดีต พวกเขาจึงไม่ได้รับการยอมรับในฐานะเผ่าพันธุ์ที่เป็นลูกครึ่ง ด้วยเหตุนี้แดมพีร์ โดยส่วนใหญ่จึงถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพวกพ้องที่แท้จริง และพวกเขาไม่เคยกังวลกับเรื่องราวดราม่ารวมทั้งความขัดแย้งทางการเมืองของเผ่าพันธุ์อื่น สนใจแค่เพียงการอยู่รอดของพวกเขาเอง
จันทราน้ำเงิน[]
เป็นตำนานที่รู้จักกันดีในเหล่าแวมไพร์ ว่าแวมไพร์เกือบทั้งหมดเกิดในคืนพระจันทร์แดง แต่มีข้อยกเว้นอยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือแวมไพร์นามว่า "วานิทัส" ที่เกิดภายใต้คืนพระจันทร์สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของภัยพิบัติ ความหายนะ และลางร้ายในวงสังคมแวมไพร์ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้วานิทัสได้รับความเกลียดซังจากเหล่าแวมไพร์ จึงต้องหลบหนีออกจากบ้านเกิด ซึ่งความไม่พอใจและความปรารถนาที่จะแก้แค้นแวมไพร์จันทราสีแดงจึงนำไปสู่การสร้างตำราวานิทัส ซึ่งเป็นคัมภีร์ต้องสาปที่มีความสามารถในการแทรกแซงนามที่แท้จริง ของเหล่าแวมไพร์ แล้วเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นผู้ต้องสาป ซึ่งว่ากันว่าใครก็ตามที่ถือตำรานั้นอยู่ในมือ จะสามารถทำลายล้างเผ่าพันธุ์แวมไพร์ทั้งหมดได้
ตามตำนานดังกล่าว มีผู้ครอบครองตำราวานิทัสปรากฏตัวในปารีส ทว่าเขาเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาที่ "ปรารถนาจะช่วย" แวมไพร์ทั้งหมดให้พ้นจากการถูกทำลายล้าง โดยมนุษย์ผู้นี้อ้างว่าได้รับมรดกและสืบทอดนามกับตำรามาจากแวมไพร์จันทราน้ำเงินผู้เป็นวานิทัสตัวจริง เขาได้รับการเปิดเผยว่าเป็นญาติของจันทราน้ำเงินจากการถูกทำเครื่องหมายที่เรียกว่า "มาร์กิ้ง" พวกเขาจึงมีพลังเช่นเดียวกับแวมไพร์ดั้งเดิมกับผู้สร้าง ตำรา ฉะนั้นสมาชิกทุกคนในจันทราน้ำเงืนจึงมีคุณสมบัติที่เหมือนกันคือไม่ได้เป็นส่วนใดหรือส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมที่เป็นต้นกำเนิดพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์หรือมนุษย์ก็ตาม ด้วยเหตุผลที่ว่าเลือดของจันทราน้ำเงินได้ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของพวกเขา
อ้างอิง[]
การนำทางสารบัญ[]
v - e - t | รายชื่อตอนบันทึกแวมไพร์วานิทัส |
---|---|
อาร์คท่องเที่ยวปารีส | 1 • 2 • 3 • 4 • 5 |
อาร์ค "Bal Masqué" | 6 • 7 • 8 • 9 • 10 • 11 |
อาร์คชาสเชอร์ที่อยู่ในความมืด | 12 • 13 • 14 • 15 • 16 • 17 • 18 • 19 • 20 • 21 |
อาร์คสัตว์ร้ายแห่งเฌโวด็อง | 22 • 23 • 24 • 25 • 26 • 27 • 28 • 29 • 30 • 31 • 32 • 33 • 34 • 34.5 • 35 • 36 • 37 • 38 • 38.5 • 39 • 40 • 41 • 42 • 43 |
อาร์คสวนสนุก | 44 • 45 • 46 • 47 • 48 • 49 • 50 • 51 • 52 • 53 • 54 • 54.5 • 55 • 55.5 • 56 |
อาร์ตปัจจุบัน | 57 • 58 • 59 • 60 • |
ช่วงพัก | 15.5 • 46.5 • 51.5 • 60.5 • 61 • 61.5 • 62 •62.5 • 63 |
เล่มมังงะ | 1 • 2 • 3 • 4 • 5 • 6 • 7 • 8 • 9 • 10 |
อื่นๆ | Vanitashu no Karute • ข้อความผู้เขียน • แปลบทสัมภาษณ์ |