
สงครามเก่า (
ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ยอมสงบศึกและลงนามในสนธิสัญญา ซึ่งนำไปสู่การแบ่งแยกระหว่างโลกมนุษย์กับโลกต่างมิติของเหล่าแวมไพร์ซึ่งถูกเรียกว่าอัลทัส มีการแลกเปลี่ยนทรัพยากรอย่างแร่แอสเทอร์ไมต์เพื่อความสะดวกสบาย แม้ว่าสงครามจะสิ้นสุดลงไปนานแล้ว ทว่าร่องรอยของสงครามยังคงอยู่ในสภาวะที่ตึงเครียด รวมไปถึงการเหยียดเชื้อชาติที่ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน
วานิทัสพร้อมกับพร้อมด้วย "โนเอ้"สหายของเขากลายเป็นจุดศูนย์กลางของความตึงเครียดที่กำลังดำเนินอยู่นี้เนื่องจากเด็กหนุ่มผมดำได้ครอบครองตำราวานิทัส แล้วเป็นคนถือชะตากรรมของเผ่าพันธุ์แวมไพร์ทั้งหมดไว้ในมือของเขา
ประวัติ[]
หลังสิ้นสุดปรากฎการ์ณบาเบล มนุษย์ต่างรู้สึกระวนกระวายแล้วบาเบลก็ได้สร้างบางอย่างที่ไม่เคยมีมา นำไปสู่การดำรงอยู่ของเหล่าแวมไพร์ ความแตกต่างทั้งสองเผ่าพันธุ์ส่งผลให้มีความตึงเครียดอย่างหนัก โดยศาสนจักรสนับสนุนให้มีการปราบปราม เลือกปฎิบัติความรุนแรง พยามข่มเหง "พวกเขา" ในฐานะคนนอกรีต พวกเขาได้สร้างกลุ่มที่เรียกว่าชาสเซอร์เพื่อล่าเหล่าแวมไพร์ตามอำเภอใจ ระหว่างการสืบสวนที่นำโดยศาสนจักร ไม่ได้เพียงแค่แวมไพร์เท่านั้น แม้กระทั่งมนุษย์ก็ถูกทรมานและโดนสังหารเพียงเพราะดูเหมือน "เข้าข่ายผู้ต้องสงสัย"[1]

หลังจากนั้นออกัส รูธเวนผู้ที่รักมนุษย์กับแวมไพร์แล้วชื่นชอบความสงบจึงต้องทำงานหนักเพื่อสร้างสันติภาพของโลก โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะคืนดีและอยู่ร่วมกันได้ เขาพยามจัดการโน้มน้าวขุนนางแวมไพร์หลายคน แต่ถึงอย่างนั้นความพยายามของเขาก็ไร้ผล เนื่องจากความขัดแย้งที่รุนแรงมากจนเดือดพล่าน ท้ายที่สุดลูกศิษย์ของเขาเองทั้งลูอิสและหลุยส์ต่างสมรู้ร่วมคิดกับมนุษย์เพื่อทำลายล้างขุนนางที่เห็นด้วยกับสันติภาพดังกล่าว ทำให้รูธเวนได้รับบาดเจ็บสาหัส ตาขวาของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินกว่าจะกลับมาเป็นแบบเดิมได้

ลูกศิษย์ของรูธเวนจึงลงโทษด้วยการประหารแล้วเสียบหัวประจานในข้อหาผู้ทรยศต่อเชื้อชาติ[2] สำหรับฝ่ายมนุษย์นั้นสงครามส่วนใหญ่นำโดยศาสนจักรและตระกูลกรานาทุมเองก็มีส่วนสนับสนุนสงครามอย่างมาก เช่นเดียวกับตระกูลออบซิเดียนที่ให้การช่วยเหลือ[3]
ท่ามกลางสงคราม รูธเวนที่ได้สิ้นหวังจึงมาหาโคลเอ้เพื่อมาขอใช้เครื่องปลอมแปลงสมการซึ่งเป็นงานวิจัยของเดอ อัปเณร์เพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้อง เขาบอกว่าทุกสิ่งที่คิดมันผิดทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่มที่ว่าทั้งสองเผ่าจะสามารถเข้าใจกันได้ หลังจากนั้นแกรนด์ดยุกออริเฟรมก็รับเลี้ยงบุตรบุญธรรม และใช้อำนาจของตระกูลเพื่อให้ได้ที่นั่งในวุฒิสภา[4]
ด้วยพลังอำนาจทั้งหมดของรูธเวน เขาจึงสามารถยุติสงครามแล้วคืนความสงบให้แก่โลก นอกจากนี้เขายังได้ทำการทดลองลับๆ บางอย่างที่เพิ่งค้นพบ ซึ่งเป็นมิติที่มีอยู่เหนือโลกของมนุษย์ไปอีกหนึ่งก้าว ต่อมาได้รับการขนานนามว่า "อัลทัส" เปรียบเสมือนสวรรค์สำหรับแวมไพร์ จากนั้นความสงบสุขมาเยือนและสงครามทั้งสองได้ยุติลง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าสันติภาพจะกลับมาคืนร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงอย่างนั้นพวกเขาต้องทำตามกฎส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา โดยตัดสินใจว่าแวมไพร์ทุกตนถูกสั่งห้ามไม่ให้ดื่มเลือดมนุษย์[5] และจะล่าถอยไปยังมิติอัลทัส[4] นอกจากนี้แวมไพร์ยังตกลงที่จะทำการค้าระหว่างทั้งสองฝ่าย: สาเหตุมาจากที่แวมไพร์เห็นว่าแสงสีฟ้าที่แร่แอสเตอร์ไมต์แผ่กระจายออกมาเป็นสัญลักษณ์ของความโชคร้าย พวกเขาจึงรวบรวมและแลกเปลี่ยนแร่แอสเตอร์ไมต์ ส่วนมนุษย์ก็จัดหาทรัพยากรที่ยากแก่การเข้าไปยังอัลทัสสำหรับเหล่าแวมไพร์[3]
กว่าศตวรรษต่อมา มนุษย์ส่วนใหญ่เชื่อว่าพวกแวมไพร์ต่างพ่ายแพ้ในสงคราม และถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น กลายเป็นแต่เรื่องเล่าหรือเทพนิยายเท่านั้น[6] ด้วยเหตุนี้ เหล่าแวมไพร์จึงเป็น "สิ่งมีชีวิตที่ถูกลืม" ทำให้เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเหล่าแวมไพร์ที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ถูกลบทิ้งจนหมดสิ้นเช่นการลักพาตัวหรือเรื่องที่แวมไพร์โจมตี หรือแม้กระทั่งมีเหตุการ์ณผู้ต้องสาปเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า[5]
แม้ว่าสงครามจะสิ้นสุดลงไปนานแล้วการล่าแวมไพร์เป็นสิ่งต้องห้าม ทว่าศาสนจักรยังคงลงสนับสนุนให้ชาสเซอร์ล่าแวมไพร์อยู่ —หากสร้างปัญหาให้กับโลกของพวกเขา ซึ่งทางศาสนจักรตัดสินเห็นชอบว่าสมควรแล้ว จากนั้นพวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้ล่าได้ แม้มีกฎที่ตั้งเอาไว้ก็ตาม ทว่าขณะเดียวกันนั้นอีกฝ่ายหนึ่งก็ก่อตั้งกลุ่มขึ้นอย่างลับๆ ท่ามกลางชาสเซอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่เต็มใจทำงานเบื้องหลังเพื่อล่าโดยเฉพาะ ยังคงฆ่าหรือกำจัดแวมไพร์อย่างผิดกฎหมายจนถึงปัจจุบัน
พล็อต[]
เร็วๆ นี้
การปรากฏตัวในตอนต่างๆ[]
- Mémoire 2: โนเอ้ — ณ เมืองหลวงแห่งดอกไม้ (ปรากฏตัวครั้งแรก)
- Mémoire 3: ฌาน — แม่มดเพลิงอเวจี
- Mémoire 4: Femme Fatale — ความรัก
- Mémoire 13: Glissando — การไล่เรียงตัวโน๊ต
- Mémoire 14: Catacombes — สถานที่ซึ่งมรณาหลับใหล
- Mémoire 15: ชาสเซอร์ — ผู้ล่าโลหิต
- Mémoire 19: Serment — ร่ายมนต์
- Mémoire 22: Hurler — เสียงเรียก
- Mémoire 23: Au Pas Camarade — รอยเท้า
- Mémoire 25: Endroit Approprié — ร่วมสู้ (แค่ถูกกล่าวถึงเท่านั้น)
- Mémoire 26: Dissonance — เสียงหัวเราะแสบแก้วหู
- Mémoire 31:Oiseau et Ciel — แวมไพร์แห่งดาปเฌร์
- Mémoire 32:Visiteur — เสียงฝีเท้าของสัตว์ร้าย
- Mémoire 33:Cauchemar — กระหึ่มก้อง
- Mémoire 36: Chasse aux Vampires — สัตว์ร้าย (แค่ถูกกล่าวถึงเท่านั้น)
- Mémoire 39: Poupée Fissurée — เนื้อแท้ของแม่มด
- Mémoire 43: Encens Restant — กลิ่นหอมจากความฝัน
- Mémoire 2: โนเอ้ -เมืองหลวงแห่งดอกไม้- (ปรากฏตัวครั้งแรก)
- Mémoire 7: Femme Fatale -ความรัก-
- Mémoire 8: Catacombes -สถานที่ซึ่งมรณาหลับใหล-
- Mémoire 15: Oiseau et ciel –แวมไพร์แห่งเดอ อัปเฌร์–
- Mémoire 16: Chasse aux Vampires –สัตว์ร้าย–
- Mémoire 17: Vengeance –มือที่สัมผัสฝันร้าย–
(*) - หมายถึงตัวละครที่ไม่ได้ปรากฏตัว แต่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำของตัวละครอื่นหรือแค่ถูกกล่าวถึงเท่านั้น
อ้างอิง[]
การนำทางสารบัญ[]
v - e - t | รายชื่อตอนบันทึกแวมไพร์วานิทัส |
---|---|
อาร์คท่องเที่ยวปารีส | 1 • 2 • 3 • 4 • 5 |
อาร์ค "Bal Masqué" | 6 • 7 • 8 • 9 • 10 • 11 |
อาร์คชาสเชอร์ที่อยู่ในความมืด | 12 • 13 • 14 • 15 • 16 • 17 • 18 • 19 • 20 • 21 |
อาร์คสัตว์ร้ายแห่งเฌโวด็อง | 22 • 23 • 24 • 25 • 26 • 27 • 28 • 29 • 30 • 31 • 32 • 33 • 34 • 34.5 • 35 • 36 • 37 • 38 • 38.5 • 39 • 40 • 41 • 42 • 43 |
อาร์คสวนสนุก | 44 • 45 • 46 • 47 • 48 • 49 • 50 • 51 • 52 • 53 • 54 • 54.5 • 55 • 55.5 • 56 |
อาร์ตปัจจุบัน | 57 • 58 • 59 • 60 • |
ช่วงพัก | 15.5 • 46.5 • 51.5 • 60.5 • 61 • 61.5 • 62 •62.5 • 63 |
เล่มมังงะ | 1 • 2 • 3 • 4 • 5 • 6 • 7 • 8 • 9 • 10 |
อื่นๆ | Vanitashu no Karute • ข้อความผู้เขียน • แปลบทสัมภาษณ์ |